สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 27 มีนาคม-2 เมษายน 2563

 

ข้าว
 
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน
(บาท/ตัน) (ตัน)
ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16
ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25
ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,014 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,843 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.24
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,887 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,639 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.87
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,830 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 31,550 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.88
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 16,150 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,930 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.17
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,072 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,840 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,024 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,328 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.68 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,512 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 564 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,330 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 502 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,339 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 12.35 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,991 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 535 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,387 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 484 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,753 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 10.53 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,634 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 561 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,232 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 514 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,729 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 9.14 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,503 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.4999
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
          เวียดนามผวาโควิดตุนข้าว ตั้งทีมตรวจเล็กแบนส่งออก
          จับตา “เวียดนาม” เคาะแบนส่งออกข้าว หลังแล้งทุบผลผลิตลด ประชาชนต้องการตุนสต็อกรับมือโควิด-19 รัฐบาลตั้งทีมตรวจสอบด่วน ด้านเอกชนไทยลุ้นอานิสงส์รับออร์เดอร์แทน
          แหล่งข่าวจากวงการข้าวเปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 เวียดนามออกหนังสือมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า หารือร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรชนบท เพื่อตั้งคณะทำงานเข้าตรวจสอบหน่วยงานค้าข้าวท้องถิ่น และผู้ส่งออกรายใหญ่ของเวียดนาม เพื่อประเมินความต้องการของตลาดส่งออก และวงเงินทุนหมุนเวียนในการส่งออกข้าว และรายงานต่อนายกรัฐมนตรีก่อนวันที่ 28 มีนาคมนี้
          “ในระหว่างที่รอข้อสรุป ต้องระงับไม่ให้มีการซื้อขายใหม่ ส่วนสัญญาที่เซ็นไปแล้วและกำลังส่งมอบ
จะพิจารณาหลังจากนายกรัฐมนตรีได้ฟังข้อสรุปจากคณะทำงาน ทั้ง 3 กระทรวงแล้ว โดยจะยึดหลักว่า ต้องมั่นใจว่า
มีข้าวเพียงพอกับประชาชนในสถานการณ์ภัยแล้ง และโรคระบาดโควิดในขณะนี้”
          สาเหตุสำคัญที่เวียดนามต้องออกมาทบทวนและประเมินสถานการณ์ส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกเวียดนาม
ได้มีการรับคำสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าปริมาณมาก ขณะที่ความต้องการสำรองข้าวของประชาชนก็เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ส่วนปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มลดลง ปัญหาภัยแล้งส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศปรับสูงขึ้น
กว่าราคาในช่วงที่รับคำสั่งซื้อไว้ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หากยังมีการส่งออกอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ
ของประชาชน และสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ดังนั้นรัฐบาลจึงเตรียมวางแนวทางเพื่อให้มีข้าวเพียงพอสำหรับ
การบริโภคก่อน
          แหล่งข่าวกล่าวว่า หากเวียดนามประกาศนโยบายชะลอการส่งออกจะส่งผลต่อตลาดข้าวโลกทันที เพราะปัจจุบันเวียดนามเป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 ของโลก มีปริมาณการส่งออก 6.8 ล้านตัน รองจากไทย อันดับ 2 ปริมาณส่งออก 7.5 ล้านตัน และอินเดีย อันดับ 1 ส่งออก 10.6 ล้านตัน
          “ผลจากประเด็นนี้อาจจะทำให้ผู้นำเข้าข้าวที่เคยสั่งซื้อจากเวียดนาม หันมาซื้อจากผู้ส่งออกรายอื่นรวมถึงไทยแทน ซึ่งขณะนี้มีผู้นำเข้าและเทรดเดอร์บางรายที่เริ่มไม่แน่ใจในสถานการณ์ ประสานเข้ามาที่ไทยเพื่อสอบถามถึง
ความเป็นไปได้ในการสั่งซื้อแล้ว ในส่วนของไทยแม้ว่าจะมีปริมาณผลผลิตลดลง แต่ยังมีเพียงพอบริโภค ซึ่งเดิมจะมีกลุ่มครัวเรือน ร้านอาหารที่ตอนนี้ก็ลดลงจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่หายไปด้วย”
          รายงานข่าวระบุว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 400,152 ตัน มูลค่า 273 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 41.8 และร้อยละ 26.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกข้าวในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ของปี 2563 มีปริมาณ 947,304 ตัน มูลค่า 584 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 42.2 และร้อยละ 30.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดยตลาดส่งออกหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐ มูลค่า 100.72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 5.06 ฮ่องกง 40.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.49 แอฟริกาใต้ 36.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 21.23 จีน 30.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 37.92 และแองโกลา 28.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.51 สำหรับราคาส่งออกปัจจุบัน ข้าวขาว 5% ของไทย ตันละ 510 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ราคาข้าวขาว 5%ของเวียดนาม ตันละ 420-430 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอินเดียตันละ 350 ดอลลาร์สหรัฐ
          ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
 
          ฟิลิปปินส์มีแผนเพิ่มนำเข้าข้าวเป็นเสบียงฝ่าวิกฤติโรคระบาด
          นายคาร์โล  โนกราเลส เลขาธิการคณะรัฐมนตรีฟิลิปปินส์ แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า คณะทำงานพิเศษระหว่างกระทรวงเพื่อต่อสู้กับโรคอุบัติใหม่ กำลังรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ในการทำข้อตกลงสั่งซื้อข้าวระดับรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งในระหว่างนี้กระทรวงเกษตรได้เริ่มติดต่อกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกรอไว้แล้ว
          ทั้งนี้ โนกราเสล กล่าวว่า ในช่วงนี้ ฟิลิปปินส์ต้องการนำเข้าข้าวอีก 300,000 ตัน เพื่อให้มั่นใจว่าเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในประเทศ ในช่วงที่ทุกฝ่ายกำลังต่อสู้กับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
สายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ที่ในฟิลิปปินส์มีผู้ป่วยสะสมมากกว่า 1,500 คน และเสียชีวิตอย่างน้อย 78 คน และดูเตร์เตสั่ง “ล็อกดาวน์” กรุงมะนิลาเป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา
          อย่างไรก็ตาม นายวิลเลียม ดาร์ รมว.กระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ปริมาณข้าวที่สำรองอยู่ในคลังยังมีเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในประเทศอีกประมาณ 4 เดือน อนึ่ง เมื่อปีที่แล้วรัฐบาลฟิลิปปินส์ยกเลิกเพดานการนำเข้าข้าวที่จำกัดมานานกว่า 20 ปี เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนสามารถนำเข้าข้าวได้อย่างไม่จำกัด
          ท่าทีดังกล่าวของฟิลิปปินส์เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลของหลายฝ่ายว่า ความมั่นคงทางอาหารของโลกอาจสั่นคลอน จากการที่เวียดนามเพิ่มความเข้มงวดในการส่งออกข้าว และสำรองข้าวสำหรับการบริโคภายในประเทศมากขึ้นในช่วงวิกฤติโควิด-19 เช่นเดียวกับกัมพูชาที่ประกาศลดการส่งออกข้าว เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนในประเทศ
จะมีข้าวเพียงพอสำหรับการบริโภคท่ามกลางวิกฤติโรคระบาด
          ที่มา : เดลินิวส์
 
 
          สิงคโปร์กลัวขาดแคลนข้าว จี้ทำข้อตกลงไม่ห้ามส่งออก
          รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศผู้นำเข้าสินค้าจำนวนมากอย่างสิงคโปร์ นิวซีแลนด์ พยายามชักจูงไทย เวียดนาม อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ทำข้อตกลงที่จะไม่ห้ามส่งออกข้าวในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะหากรัฐของประเทศผู้ส่งออกข้าวหยุดการส่งออก หรือจำกัดปริมาณส่งออกเพื่อเก็บไว้บริโภคภายในประเทศให้เพียงพอในช่วงการระบาดแล้ว อาจทำให้บางประเทศขาดแคลนข้าวได้
          นายชูเกียรติ  โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้เชิญสมาคมและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อประเมินสถานการณ์ข้าวแล้ว พบว่า ข้าวไทยไม่ขาดแคลนแน่นอน เพราะขณะนี้สต็อกข้าวของภาคเอกชนรวมกันไม่ต่ำกว่า 4 ล้านตันข้าวสาร เพียงพอสำหรับการบริโภคได้อีก
7-8 เดือน และข้าวนาปรังปี 2563 รอบแรกเพิ่งเก็บเกี่ยวได้ร้อยละ 20 ของผลผลิต 5 ล้านตันข้าวเปลือก และยังมี
ข้าวนาปรังรอบ 2 ที่จะเก็บเกี่ยวเดือนสิงหาคมนี้อีก 3 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเห็นข้าวสารรวมกันประมาณ 5 ล้านตัน
          นอกจากนี้ตลาดส่งออกข้าวยังซบเซา โดยในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไทยเพิ่งส่งออกได้ 900,000 ตัน เท่านั้น จากเคยส่งออกได้เป็นล้านตัน เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยการส่งออกเพิ่ง
ขยับขึ้นในเดือนมีนาคม 2563 จากคำสั่งซื้อข้าวหอมมะลิของสิงคโปร์ ฮ่องกง สหรัฐฯ ประมาณ 600,000-700,000 ตัน แต่ประเทศที่เคยนำเข้าข้าวขาวจำนวนมากอย่างฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ยังไม่นำเข้าข้าวจากไทย แต่นำเข้าจากอินเดียและเวียดนามแทน เพราะราคาถูก เช่น ข้าวขาว 5% ของไทยตันละ 480 ดอลลาร์สหรัฐ เวียดนามตันละ 430 ดอลลาร์สหรัฐ และอินเดียตันละ 370 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น
          อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนไม่ต้องซื้อสินค้ากักตุน เพราะผลผลิตข้าวยังทยอยออกมาเรื่อยๆ การซื้อตุน
แม้จะทำให้การขายดีขึ้นในช่วงที่มีการซื้อตุนกันมากๆ แต่หลังจากนั้น การค้าจะซบเซาลง เนื่องจากการซื้อไม่มี เพราะคนต้องบริโภคข้าวที่ตุนไว้ให้หมดก่อนจึงจะซื้อใหม่
          ที่มา : เดลินิวส์


กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
 
 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ 
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.44 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.48 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.53 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.84 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 5.98 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.34
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ  8.54 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.56 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.17 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.22 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.61
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 265.00 ดอลลาร์สหรัฐ (8,612 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 266.00 ดอลลาร์สหรัฐ (8,658 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.38 และลดลงในรูปของ    เงินบาทตันละ 46 บาท 
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนพฤษภาคม 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 339.16 เซนต์ (4,395 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 346.24 เซนต์ (4,492 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.04 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 97 บาท


 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.74 ล้านไร่ ผลผลิต 29.493 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.38 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.81 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 5.11 และร้อยละ 5.85 ตามลำดับ โดยเดือนมีนาคม2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 6.04 ล้านตัน (ร้อยละ 19.42 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 17.63 ล้านตัน (ร้อยละ 56.68 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดมาก แต่ราคาหัวมันสำปะหลังค่อนข้างทรงตัว ทั้งนี้หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่โรงงานแป้งมันสำปะหลัง สำหรับลานมันเส้นเปิดดำเนินการไม่มาก
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.83 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.89 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 3.17
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 4.96 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.02. บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.20
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.97 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.65 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 215 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,987 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,583 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 7.73
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 425 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,812 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 435 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,158 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.30

 
 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนมีนาคมจะมีประมาณ 1.561 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.281 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.306 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.235 ล้านตัน ของเดือนกุมภาพันธ์ คิดเป็นร้อยละ 19.53 และร้อยละ 19.57 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 3.14 บาท ลดลงจาก กก.ละ 3.93 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 20.10 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 25.73 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 24.00 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 7.21   
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าตลาดปาล์มน้ำมันมาเลเซียสูงขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยบวกของราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบที่สูงขึ้นและค่าเงินริงกิตมาเลเซียลดลง และปัจจัยลบในด้านอุปสงค์ของโลกที่ยังไม่แน่นอน ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น นื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คาดการณ์ว่าจะเกิดข้อยุติสงครามราคาน้ำมันระหว่างรัสเซียกับซาอุดีอาระเบีย
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,507.36 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.26 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 2,375.14 ดอลลาร์มาเลเซีย (17.92 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.57 
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 661.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.75 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 633.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20.86 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.42 
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล

 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15.80 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 16.72 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.50
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บราซิลคาดการณ์ว่า จะส่งออกถั่วเหลืองประมาณ 72 ล้านตันในปีการเพาะปลูก 2562/63 และยังคงส่งออกถั่วเหลืองให้แก่จีนในฐานะผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก(คิดเป็น 80% ที่จีนนำเข้าจากบราซิล) นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ยังคงแพร่ระบาดหนัก
อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ผลิตถั่วเหลืองและผู้ค้าถั่วเหลืองในบราซิล ทั้งนี้ รัฐบาลทั่วโลกได้กำหนดมาตรการกักกันอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับการขนส่งทางบกและทางทะเล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าสินค้าในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งรวมถึงสินค้าถั่วเหลืองด้วย
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 874.2 เซนต์ (10.57 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 878.92 เซนต์ (10.64 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.54
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 318.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.49 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 327.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.78 บาท/กก.)  ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.54
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 26.60 เซนต์ (19.29 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 26.29 เซนต์ (19.09 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.18


 

 
ยางพารา

 

 
สับปะรด



 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.21 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 25.25 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.16
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 44.60 บาท เพิ่มขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 45.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.89
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 953.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 952.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.98 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 860.20 ดอลลาร์สหรัฐ (27.96 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 859.40 ดอลลาร์สหรัฐ (27.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.09 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 983.80 ดอลลาร์สหรัฐ (31.97 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 982.80 ดอลลาร์สหรัฐ (31.99 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.10 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 581.80 ดอลลาร์สหรัฐ (18.91 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 581.20 ดอลลาร์สหรัฐ (18.92 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.10 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,398.80 ดอลลาร์สหรัฐ (45.46 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1,336.80 ดอลลาร์สหรัฐ (43.51 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.64 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 1.95 บาท


 

 
ถั่วลิสง
 
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้ 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.32 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 60.32 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 8.29
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.70 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 32.38 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 0.99
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

 
 

 
ฝ้าย
 
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนพฤษภาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 50.31 เซนต์(กิโลกรัมละ 36.51 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 52.99 เซนต์ (กิโลกรัมละ 38.49 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.06 และลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.98 บาท
 
 

 
ไหม
 
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,721 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,656 บาทของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.93
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,397 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,355 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา  ร้อยละ 3.10
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 913 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 800 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 14.13


 

 
ปศุสัตว์
 
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
สถานการณ์ตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นส่งผลให้ผลผลิตสุกรออกสู่ตลาดลดลง อีกทั้งจากการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 ของประชาชนทำให้มีความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  69.56 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.62 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.37 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 69.28 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 66.08 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 70.52 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 70.96 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 1,800 บาท ลดลงจากตัวละ 2,000 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 10.00
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 69.83 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 71.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.65


ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 39.09 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 39.06 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.08 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 39.42 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.75 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 10.50 บาท ลดลงจากตัวละ 12.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ  16.00
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท  และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
   
สัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 ของประชาชนมีความต้องการของไข่ไก่เพิ่มมากขึ้น  ทำให้ภาวะตลาดไข่ไก่ค่อนข้างคึกคักและคล่องตัว ส่งผลให้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาสูงขึ้นเล็กน้อยตามความต้องการบริโภคที่จะเพิ่มขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 297 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 278 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.83  โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 325 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 283 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 296 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 26.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา   
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 315บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่เป็ด

ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 345 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 339 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.77 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 363 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 358 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 319 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 90.07 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 90.61 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.60 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 89.69 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 86.95 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 87.25 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.86 บาท


กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง)ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 68.54 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.63 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.13 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.12 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.38 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา

 


ตารางปศุสัตว์ ราคาเกษตรกรขายได้ ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ และราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 2 เมษายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
 2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 83.98 บาท ราคาสูงขึ้น จากกิโลกรัมละ 82.93 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.05 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 119.99 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 140.35 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 20.36 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 115.83 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 130.83 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 15.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 74.68 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 62.64 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 12.04 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 89.29 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 90.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.71 บาท
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.29 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา